บ้านของลูกหมูสามตัว

สมัยก่อนผมเคยได้คำถามจากแม่ว่าไม่อยากทำงานที่มั่นคงหรอลูก…. ลองหางานที่มั่นคงไหมลูก จะได้มีเงินเดือน
มีโบนัสกับเค้าบ้าง … เมื่อวานผมนั่งอ่าน นิตยสารWAY แล้วเห็นเรื่องลูกหมูสามตัว จึงมีคำถามว่าผมอยากมีบ้านแบบไหน บ้านสำเร็จรูปของลูกหมูตัวแรก บ้านอีโค่ของลูกหมูตัวรอง หรืออยากเป็นพวกไร้บ้านเหมือนหมูตัวสุดท้าย …GEN X, Y, Zและ BABYBOOM มีผลอย่างมากในการตัดสินใจเลือกบ้านในแต่ละแบบ

ก่อนอื่นสำหรับคนที่ยังไม่เข้าใจเรื่องความหมายของคำว่า generation  ผมขอยกคำอธิบายง่ายๆ จาก บทความเรื่อง พฤติกรรมการบริโภค Gen B, Gen X, Gen Y และ Gen M จากเว็บสาระดีๆ 

Generation B (Baby Boomer Generation) คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2489 – 2507        อายุ   44 – 62 ปี จะเป็นคนที่มีชีวิตเพื่อการทำงาน เคารพกฎเกณฑ์ กติกา  อดทน ให้ความสำคัญกับผลงานแม้ว่าจะต้องใช้เวลานานกว่าจะประสบความสำเร็จ   อีกทั้งยังมีแนวคิดที่จะทำงานหนักเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว  มีความทุ่มเทกับการทำงานและองค์กรมาก คนกลุ่มนี้จะไม่เปลี่ยนงานบ่อยเนื่องจาก    มีความจงรักภักดีกับองค์กรอย่างมาก ปัจจุบันนักการตลาดในหลายๆ ประเทศเน้นทำการตลาดกับกลุ่มนี้เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ มีกำลังซื้อ มีศักยภาพในการบริโภคสินค้า  มีทัศนคติที่ดีต่อการซื้อจับจ่ายใช้สอยสินค้าเพื่อตัวเองและบุคคลใกล้ชิด

Generation X (Extraordinary Generation)  คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2508 – 2522     อายุ 29 – 43 ปี มีลักษณะพฤติกรรมชอบอะไรง่าย ๆ ไม่ต้องเป็นทางการ ให้ความสำคัญกับเรื่องความสมดุลระหว่างงานกับครอบครัว (Work – life balance)  มีแนวคิดและการทำงานในลักษณะรู้ทุกอย่างทำทุกอย่างได้เพียงลำพังไม่พึ่งพาใคร มีความคิดเปิดกว้าง พร้อมรับฟังข้อติติงเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาตนเอง  ในด้านพฤติกรรมการบริโภคจะเป็นกลุ่มคนหนุ่มสาวที่กล้าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยทำงานในลักษณะใช้ความคิด สมาชิกหลักในครอบครัวทำงานทั้งสองคนใช้ชีวิตแบบทันสมัย

Generation Y (Why Generation)   คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2523 – 2533 อายุ 38 – 28 ปี เป็นกลุ่มคนที่โตมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี เป็นวัยที่เพิ่งเริ่มเข้าสู่วัยทำงาน มีลักษณะนิสัยชอบแสดงออก มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ชอบอยู่ในกรอบและไม่ชอบเงื่อนไข คนกลุ่มนี้ต้องการความชัดเจนในการทำงานว่าสิ่งที่ทำมีผลต่อตนเองและต่อหน่วยงานอย่างไร  อีกทั้งยังมีความสามารถในการทำงานที่เกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร และยังสามารถทำงานหลาย ๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน  Gen-Y เป็นผู้บริโภคที่ใจร้อน ต้องการเห็นผลสำเร็จทุกอย่างอย่างรวดเร็วเนื่องจากเชื่อในศักยภาพของตนเอง กลุ่มคน Gen-Y เชื่อว่าการประสบความสำเร็จในชีวิตจะเกิดขึ้นต้องทำงานหนัก ทำให้มีการแต่งงานช้าลง ไม่ถึง 30 ไม่แต่ง ถ้ามีแฟนแล้วแฟนมีอุปสรรคกับงาน ก็จะเลิกกับแฟนเลือกงาน คนกลุ่มนี้มักเปลี่ยนงานบ่อย มีเครดิตการ์ดมากกว่า 1ใบ ใช้บริการประเภทและมักใช้บริการ Personal Credit มากขึ้น

Generation M (Millennium Generation) อายุปัจจุบันจะอยู่ในช่วง 18-24 ปี  หรือในบางตำรารวมเด็กอายุต่ำกว่า 18 ด้วย เรียกติดปากว่า เด็กแนว    เป็นสมาชิกในครอบครัวที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษและได้รับการสั่งสอนเพื่อไม่ให้ตกอยู่ในอำนาจของสิ่งยั่วยุ มอมเมาซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในอดีต เช่น ยาเสพติด สุรา ทีวีมอมเมาเยาวชน พฤติกรรมก้าวร้าว เอดส์ รวมไปถึงการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันสมควร  Gen M เป็นผู้บริโภคแห่งความหวัง (Generation of Hope) ที่ผู้ใหญ่หวังว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่อแก้ไขความผิดพลาดที่ตนทำในอดีต   บุคคลกลุ่มอายุนี้จะให้ความสำคัญกับคอมพิวเตอร์  ภาษาอังกฤษ ไม่ชอบเป็นลูกจ้าง อยากเป็นเจ้าของกิจการขนาดเล็ก มีแนวทางและอิสระเป็นของตัวเองชัดเจน ชอบดู Channel V, MTV (TaNteE.NET, 2548 : ออนไลน์)  การทำตลาดของสินค้าโดยเฉพาะสินค้าด้านสุขภาพที่จะสามารถเจาะกลุ่มตลาดนี้ได้ในขณะที่ต้องเป็นสินค้าที่มีคุณภาพแล้ว  ยังต้องมีความเป็นตัวเองสูง  และมีความโดดเด่น  อีกทั้งการเข้าถึงกลุ่ม Gen M  หากทำในตลาดปรกติเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถสื่อสารกับ Gen M ได้เพียงพอ   เพราะผู้บริโภคกลุ่มนี้เปิดรับข้อมูลข่าวสารโดยใช้สื่อดิจิตอลเป็นหลัก   การเข้าถึงและการทำตลาดกับ  Millennium Generation  จึงควรมุ่งเน้นที่สื่อดิจิตอลเป็นสำคัญ

โดยบริบทแห่งสังคม ทำให้ทุกๆ คำตอบ ถูกเสมอ ไม่ว่าจะเป็นบ้านหลังไหนขึ้นอยู่กับคนเฉลยมีธงคำตอบในใจแบบไหน .. ความมั่นคงในแต่ละยุคสมัยนั้นมีความแตกต่างกัน ความมั่นคงในยุคสมัยหนึ่ง อาจจะเป็นเพียงแค่ได้เงินทุกเดือนและทำงานให้หนัก เพื่อได้รับผลตอบแทนสูงๆ ผมเคยได้รับคำสอนเสมอว่า “ตั้งใจเรียนสูงๆ ทำงานให้หนัก ขยันๆ ตั้งใจIMG_4234ทำงาน จะได้เงินเดือนที่ดีตามมา” กาลเวลาในยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง คำสอนแบบนี้ถูกต้องไม่ผิดเพี้ยนในบริบทแห่งสังคมยุคนั้น แต่เมื่อเวลาเปลี่ยน การทำงานหนัก และขยันเป็นเหตุ และไม่ได้ผลสำเร็จต้องได้รับเงินเดือน หรือผลตอบแทนสูงๆ อย่างที่สอน… วิธีการหาเงินเริ่มแปลเปลี่ยนไป เราเห็นคนทำงานน้อยๆ ขี้เกียจแต่ได้รับผลตอบแทนสูงอยู่เสมอ จนทำให้เราเกิดความสงสัยกับคำสอนที่เคยเป็นจริงเสมอในช่วงเวลาหนึ่ง ว่ายังคงเป็นจริงหรือไม่…ทำไมหลายคนรวยโดยไม่ต้องทำงานหนัก โดยไม่ต้องพยายาม จึงได้มีหนังสือ HOW TO ออกมาสอนวิธีการรวยเต็มแผงหนังสือมากมเมื่อวานผมเดินร้านหนังสือ อย่างน้อยๆ ก็เห็นอยู่ 6 แถวที่เป็นหนังสือชี้ช่องรวย , รวยง่าย จึงอาจจะเกิดคำถามจากบางคนว่า คำสอนที่ควรจะเป็นคือ “ทำงานขยันผิดที่ สิบปีก็ไม่รวย” หรือ “ถ้าทำงานหนักแล้วรวย กรรมกรคงกลายเป็นอภิมหาเศรษฐี คนเรียนหนังสือไม่จบแบบmark zuckerberg ก็รวยได้” ดังนั้นบริบทของรายได้ในสังคมยุคนี้ย่อมเปลี่ยนไป คำนิยามของความมั่นคงย่อมต้องเปลี่ยนไป ในอนาคตอันใกล้นี้ ไม่น่าจะเกิน 40 ปี สิ่งที่เป็นจริงในปัจจุบัน ก็จะเปลี่ยนไปอีกอย่างน้อยสองรอบ … แล้วเราจะทำอย่างไรละ ควรจะเลือกความสำเร็จในคำนิยามของปัจจุบัน หรือว่าเราสร้างความสำเร็จตามคำนิยามของความสำเร็จในอนาคตกัน…. ผมตอบไม่ได้ว่าคุณควรเลือกแบบไหนขึ้นอยู่กับอุดมคติของแต่ละคน บางคนอาจจะหวังเพียงประสบความสำเร็จในการได้รับตำแหน่งสูงๆ ในบริษัทฯแต่ความสำเร็จเค้าอาจจะด้อยคุณค่ากับบางคนที่หวังอยากได้ตำแหน่งปลัดกระทรวงสักกระทรวงหนึ่ง ดังนั้นการที่เรานิยามความสำเร็จในแบบของตนโดยคาดหวังว่าจะเป็นความสำเร็จของโลก ผมว่าคงจะไม่ยุติธรรมสักเท่าไร เราน่าจะมีโอกาสนิยามความสำเร็จในแบบของตัวเอง แต่ผมหวังว่าอยากให้ทุกคนประสบความสำเร็จ สำหรับผม ผมก็ได้นิยามความสำเร็จไว้ในแบบผม ผมมีเป้าหมายที่ผมอยากเดินอย่างมุ่งมั่น ผมหวังว่าจะมีความก้าวหน้ามั่นคงในแบบของผม … ผมว่า คนเราควรมีความสำเร็จในแบบของตัวเองนะครับ

Back to Top