ผู้ว่างงานด้วยใจสมัคร

ผมเป็นคนชอบสัมภาษณ์งาน …. ถึงแม้จะรู้ในใจว่า ผมไม่รับงานนี้อย่างแน่นอน ..แต่ทุกๆ ครั้งที่มีบริษัทฯเรียกสัมภาษณ์งาน ผมก็จะไปเสมอ …ผมถูกก่นด่าจากพี่ๆ น้องๆ ที่ทำงานสาย HR ว่าไปทำไม …เสียเวลาทั้งเค้าและเรา….คำตอบอาจจะมาจาก… หากจะมองย้อนกลับไปในอดีตเมื่อผมกลายเป็นเด็กจบใหม่ …ที่เกรดไม่ดี … 13522767_10154934916254008_6268881278625017313_oถึงแม้จะเรียจบไวกว่าเกณฑ์ 4 ปี มากพอสมควร แต่นั้นก็ไมไ่ด้ช่วยทำให้ผม มีคนเรียกไปสัมภาษณ์งานเลย …จากวันที่ได้รับ ทรานสคริป ผมเดินออกหางานอยู่เป็นเวลา 3 เดือน …เห็นจะได้ เดิน Walk in บ้าง … สมัครงานผ่านอินเตอร์เน็ตบ้าง สมัครงานเป็นร้อยๆ บริษัทฯ ก็ไม่มีที่ไหนเรียกผมเข้าไปคุยสักเท่าไร่ เลย …ผมจำได้ ที่แรกที่ผมเรียก ไปคุย เป็นบริษัทฯ อยู่แถวบางมด .. ผมดีใจมาก นั่งรถจาก มีนบุรี ไปบางมด … สุดท้ายก็เหลวเปว …หลังจากนั้นก็มีเรียกสัมภาษณ์ บ้าง แต่ก็เด็กจบใหม่ใครหรือจะให้โอกาส …. ผมว่านับเป็น % ในการเรียกสัมภาษณ์ ไม่น่าจะถึง 0.03% จากที่ผมเดินไปสมัครงาน …. อยู่ดีๆ บริษัทฯ เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ ขนาดเล็ก ก็เรียกผมเข้าทำงาน… แบบไม่ได้สัมภาษณ์ อะไรเลย และให้เริ่มงาน ต้นเดือนเลย…. เป็นอะไรที่ตกใจมากๆ งง ดีใจน้ำตาไหล… ผมไม่ได้ถามเงินเดือนด้วยซ้ำไป ไม่ได้เซ็นต์สัญญาจ้าง แค่วันแรกในการทำงาน นายจ้างบอกว่า ผมได้เงินเดือน 7,340 บาท ตามวุฒิปริญาตรี …. ทุกสิ่งที่ผมฝันไว้ มันอจจะเริ่มต้นที่จุดนี้… แต่แล้วก็ไม่ใช่ … เพราะผมทำงาน แบบเด็กจบใหม่ ไม่มีคนสอนงาน เพราะเป็นพนักงานกฎหมายคนเดียวของบริษัทฯ ผมเหมือนพวกความรู้กฎหมายท่วมหัว แต่เอาตัวไม่รอด… เมื่อผ่านเดือนแรกผมเริ่มออกหางานอีกครั้ง… ด้วยประสบการณ์ทำงาน 2 เดือน .. ทำให้ผมไม่ใช่เด็กจบใหม่อีกต่อไป … ในเวลาไม่นาน ผมได้สัมภาษณ์ งาน 2 ที่ ในเวลาเดียวกัน และทั้งสองที่รับผมเข้าทำงาน เสียด้วย …. บริษัทฯแรกอยู่แถวสมุทรปราการไม่ห่างจากที่ทำงานในตอนนี้… และอีกบริษัทหนึ่งฯ อยู่สุขุมวิท กลางกรุงเทพแต่มีเงื่อนไขว่าต้องมีรถมอร์เตอร์ไซร์ ถึงจะให้ทำงานได้ …เปล่าๆไม่ใช่อย่างที่คุณคิด ผมไม่ได้ไปส่งเอกสาร ผมเป็นนิติกร แต่เค้ามีเงื่อนไขแบบนี้จริงๆ เพราะว่ารถติด และต้องมีพาหนะไปหลายที่ในแต่ละวัน …. ผมเลือกทำงานที่โรงงานยางรถยนต์แถวสมุทรปราการ เพราะเคยดูโฆษณายางยี่ห้อนี้ในทีวี ..ผมทำได้ เพียง 1 วันบรรยากาศเงียบสงบ ไม่มีคนคุยกับผมเลย ดูท่าจะแย่เลยก็รีบโทรไปยังอีกบริษัทฯ ว่าผมพร้อมทำงานที่นั้น แล้ว .. จากวันที่ 19 เมษายน เป็นต้นมา..ผมได้ทำงานอยู่ที่บริษัทฯ แห่งนี้เรื่อยมา ตลอดระยะเวลาการทำงาน…มีเรื่องราวทั้งดีและร้าย มีทั้งขื่นขมและสมหวัง…มีทั้งเสี่ยงตายและเฉียดตาย…มันพอกพูนประสบการณ์ที่หัวหน้ากับลูกพี่ได้สั่งสอน ให้ลองทำ ให้ฝึกฝน ให้หัดล้ม… และผมก็ทำอยู่ที่นี้หลายปี …เมื่อทุกครั้งผมได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์งาน….บทสนทนาของผู้ถามจะมีหนึ่งคำถามว่า…หน้าที่เก่าทำอะไรมาบ้าง… ผมจะเริ่มต้นคำตอบของผมว่า ….”หน้าที่ในบริษัทฯ ผมมีความหลากหลาย บริษัทในกลุ่มประมาน20บริษัทฯ มีตั้งแต่บริษัทขนส่งสินค้า ไปจนถึงเครื่องบินรบ ดังนั้นงานค่อนข้างหลากหลาย และผมได้รับการสั่งสอนจากหัวหน้าที่เก่งมากๆ ตลอดจนผมมีลูกพี่ที่ฝึกงานผมอย่างใกล้ชิด ทำให้ผมสามารถทำงานได้จากประสบการณ์ตรง … ดังนั้นถ้าจะถามว่าผมทำงานอะไรมาบ้าง ผมหวังว่าคงมีเวลาฟังนะครับ ” คำตอบของผมอาจจะไม่น่าฟังสำหรับบางคน แต่ว่าเชื่อเถอะผมพูดจริงทุกคำ ….. ผมลาออกจากที่นี่นานแล้ว..แต่ก็ยังรักและติดต่ออยู่เสมอ… เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาผมได้รับการชักชวนจากลูกพี่ผมว่า “หัวหน้า” ผมได้ลาออกจากการเป็นพนักงานบริษัทฯ ที่ท่านทำงานมามากกว่า 30 ปีแล้ว.. เราไปเลี้ยงส่งหัวหน้ากัน..เมื่องานเลี้ยงส่งจบลง… ผมได้นั่งคุยกับหัวหน้า หลังจากไม่ได้คุยกันนาน ผมว่าหัวหน้าผมน่าจะรู้สึกแปลกๆการสถานะทนายความอิสระ ผู้ว่างงานโดยสมัครใจ.. ประตูบานเก่าที่ปิดลง .. พร้อมกันนี้ประตูบานใหม่ในโลกของผู้ว่างงาน ก็เปิดรับท่านเข้ามา …. ผมเป็นผู้มาก่อน จะเรียกว่าผมเป็นรุ่นพี่ ของผู้ว่างงานก็ว่าได้ ..จึงได้บอกเล่าเรื่องราวความสนุกของผู้ว่างงานให้ท่านฟัง … ความสนุกของการที่เรามมีสิทธิขี้เกียจอันชอบธรรมในบางวัน ….ความสนุกในการดูแลสุขภาพร่างกาย มองอะไรช้าลง …. ความสนุกของจังหวะชีวิตที่เราเลือกได้ … ผมว่า ผมเริ่มเชียวชาญในศิลปะในการว่างงานแล้ว.. งั้นผมจะเป็นครูท่านในวิชาว่างงานก็แล้วกัน… ตอบแทนที่หัวหน้าเป็นครูผมในวิชาทำมาหากิน..ให้วิชามีความรู้เกินพอที่เป็นทั้งที่ปรึกษากฎหมายที่ดีและเป็นทนายความที่ยอดเยี่ยมควรเป็นอย่างไร … ถึงแม้ผมจะทำไม่ได้ทุกอย่างตามที่ท่านสอนก็เถอะ ….ผมว่าสิ่งที่สำคัญของมนุษย์คือ สิทธิในการเลือก … เลือกที่จะกิน เลือกที่จะเดิน …เลือกที่จะออกเสียง … เลือกที่จะไม่รับ … อะไรก็ได้ สิทธิจึงโคตรจะสำคัญ.. มันสมควรจะเป็นสิทธิ์ของทุกคนที่ควรหวงแหน ….การที่ใครอยู่ในภาวะจำยอมต้องเป็นฝ่ายที่ถูกชตาหรือจะเรียกว่ากระแสของชีวิตเป็นผู้เลือกทางเดินของให้ ผมว่าเค้าจะใช้ชีวิตตามกติกาของคนอื่น ..และกำลังเล่นในเกมส์ของโชคชตา โอกาสที่จะชนะและมีความสุข…….น่าจะมีน้อยกว่าความเศร้าและคลายน้ำตานะผมว่า …ต้องขอบคุณหัวหน้าที่ทำให้ผมมีสิทธิที่จะเป็นผู้เลือก.. มากกว่าผู้ถูกเลือก … ผมชอบไปสัมภาษณ์งานเพราะผมสนุกที่จะได้เลือก อย่างที่ไม่เคยได้รับเมื่อสมัยก่อน…. ก็ไม่แน่นะ อาจจะมีงานที่บางบริษัทฯ ที่เค้าเลือกผม…และผมเลือกเค้าก็ได้… เมื่อถึงวันนั้นผมอาจจะเป็นพนักงานประจำเต็มตัวอีกครั้งก็ได้ใครจะรู้… แต่ในทุกวันนี้ยังไม่เจออะไรแบบนั้น และยังสนุกกับการใช้ชีวิตในแบบของผม …อาจจะฟังดูบ้าบอที่ผมยังคงวิ่งตามความฝันไม่ถึงสักที…. ผมไม่ได้ฝันว่าจะร่ำรวย ผมฝันไว้ว่าจะมีความสุข …. ผมไม่ได้ฝันจะมีลูกเล็กๆ วิ่งตามบ้าน …ผมฝันไว้ว่าจะได้เดินทางเพื่อสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ …ผมกว่าการมีความฝันนี้ดีนะ เป็นเหมือนเข็มทิศไม่ให้เราหลงทาง…ผมพบเจอใครหลายๆ คนที่หยิบยืมความฝันของคนอื่นเป็นของตัวเอง… หยิบยืมชีวิตสำเร็จรูป ตามท้องตลาดมาเลือกใช้ … ชีวิตที่มองเห็นจุดจบของชีวิตว่าจะเดินทางไปทางไหน ทำอะไร … ผมไม่รู้ว่าคนเก่งๆ หลายคนหวาดกลัวความไม่แน่นอน ชื่นชอบความแน่นอน คาดเดาได้ของชีวิต … ผมว่าชีวิตไม่แน่นอนนี้ดีนะครับ …ถึงแม้จะมีโอกาสลงต่ำ..แต่ก็มีโอกาสขึ้นสูงเหมือนกัน … ถ้า คุณ ยังมี โอกาสเลือก โอกาสฝัน … ทำเถอะครับถ้าเป็นฝันของคุณ… ทำมันก่อนคุณจะตาย.. เพราะคุณมีแค่ชีวิตเดียว… อย่าลืมเรื่องนี้ซะล่ะ

Back to Top