เด็กน้อยจากบ้านสามขา

เมื่อวานผมได้ไปงานสัมนาระดับประเทศในเรื่องสิทธิมนุษยชน โดยมีผู้ร่วมเข้าฟังและนักข่าวล้นหลามแออัดเป็นปลากระป๋องหายใจไม่ออก และเบื้องหน้าทุกสายตาจับจ้องไปวิทยากรที่คอยให้ความเห็นอย่างเผ็ดร้อนในประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน ชาวต่างชาติมีหูฟังเพื่อแปลความจากไทยเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นปกติเวลาผมไปงามสัมนาระดับนี้จะมีเครื่องช่วยแปลภาษากันทั่วไป แต่ที่พิเศษคือ หนึ่งในวิทยากรอยู่เบื้อหน้าที่ทุกคนจับจ้องคือหนึ่งในเพื่อนรักวัยเด็กของผม…. เด็กน้อยจากบ้านสามขา…. ผมนั่งอมยิ้มและคิดย้อนกลับไปช่วงวัยเด็ก เหล่าเด็กน้อยที่เกิดและเติบโตในหมู่บ้านที่ชื่อ13147461_10154803055409008_5297406387884599003_oแปลกๆ ว่า “สามขา” เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ห่างไกลตัวจังหวัด และในหน้าฝนหากฝนตกหนัก ถนนทางเข้าหมู่บ้านหลักก็จะขาดลงไม่อาจสัญจรได้จนทั่วทั้งอำเภอจึงเรียกว่า “ขาดง” เรียกว่าบ้านนอกสุดๆ ก็ว่าได้…. ในปีที่ผมเกิดนั้น มีเด็กที่เกิดมารุ่นราวคราวเดียวกันนั้นหลายร้อยคน แต่ในหลายร้อยคนนั้น จะมีเพื่อนที่เจอกันบ่อยๆ อยู่ไม่กี่คนที่เรียกได้ว่าเติมโตไปด้วยกัน …. กลุ่มของผมก็ประกอบไปด้วยคนเหล่านั้น เท่าที่จำได้คร่าวๆ ก็มีกันอยู่ 4 คน ผมจะเป็นคนที่เรียนอ่อนที่สุดในกลุ่มเสมอแต่ก็พอเกาะกลุ่มได้ไม่ห่างมาก … ผมจำได้ตั้งแต่สมัยเด็กๆ เวลาเราจะไปสอบชิงทุนที่ตัวจังหวัดด้วยกันเราจะเดินทางไปพร้อมๆ กันทั้งหมด ไม่ต้องทายนะครับ ว่า เก่งระดับ “ขาดง” หรือจะได้ทุนระดับจังหวัด ….. แต่เราทุกคนก็สนุกกับการเรียนแบบบ้านนอก เราได้ปลูกผักที่ต้องตื่นเช้าไปรดน้ำแปลงผักเอง ในทุกหน้าหนาวเราได้ ออกมาเรียนที่สนามหญ้า เพราะว่าหนาวมากๆ ไม่อาจเรียนในห้องได้ เราได้ใช้ชีวิตบ้านนอกแบบสมบูรณ์แบบ ตอนปฐมไม่มีเรียนพิเศษ ไม่มีวิชาการ มีแต่วิชาเล่น … ในทุกๆ เย็นจะหากิจกรรมทำเสมอ … เป็นความทรงจำที่ผมสามารถเขียนเล่าเป็นหนักสือได้เป็นเล่มๆ เลยถ้ามีคนอยากอ่านนะ …. เราทั้งสี่เติบโตตามทางของตัวเอง… เพื่อนคนหนึ่งผมเป็นสถาปนิกสาว ทำงานต่างประเทศบ้าง ในไทยบ้าง … เพื่อนคนหนึ่งผมจบด้านอุปกรณ์การแพทย์ จบปริญาโท ตอนนี้ลาออกมาเป็นผู้ลงทุนในตลาดหุ้นบ้าง….. เพือนอีกคนเติบโตในงานด้านอนุกรักษ์ธรรมชาติ ชุมชน เป็นวิทยากร ออกทีวีหลายครั้งเพื่อเรียกร้องสิทธิของชมชนและสังคมไทย ….. ส่วนผมเอง ก็รั้งท้ายเช่นเดิม เป็นเพียงปรึกษากฎหมายแก่บริษัทฯสามสี่แห่ง และทนายความสำนักงานเล็กๆของตัวเอง … ที่น่าตลกคือเราทั้งสี่คนมีชีวิตในแบบของตัวเอง … มีแนวทางของตัวเองที่ชัดเจน …ทุกคนยังพูดคุย พบเจอ โทรหากันอยู่ประจำ …. แต่เราทุกคนยังห่วงใยกันเสมอ … มีใครบางคนเคยถามว่า.. เวลาผมมีปัญหาผมจะปรึกษาใคร …ผมก็ปรึกษาเพื่อนเหล่านี้เหละ ในหลายๆ ครั้งได้คำตอบที่ดี …ในหลายๆ ครั้งได้รับคำด่าที่หงอย …ในเวลาที่ท้อเราก็ได้คำพูดคอยฉุดดึง…ในเวลาที่สำเร็จ ก็มีเพื่อนคอยยินดี…. ก็นั่นสินะ เรียกว่า “เพื่อนแท้”ที่เราได้มีกันในทุกเวลา ไม่ว่าเวลาที่ผมจนที่สุด ก็มีผัดกระหล่ำใส่วุ้นเส้นกับข้าวร้อนๆ … ในเวลาที่ผมแต่งงาน เพื่อนเหล่านี้มารอตั้งแต่งานยังไม่เริ่ม ….และเต้นจนเหงือหยดสุดท้าย เมาจนเลียตูดหมาไม่ถึง …. เมื่อวาน…. ผมนั่งดูเพื่อนของผมนั่งอยู่ข้างหน้าผู้คนมากมาย แสดงทัศนะความเห็นที่ทุกคนหยุดและอยากฟัง …. ผมว่าในฐานะของ “ขาดง” คนหนึ่งรู้สึกว่าพวกเรามาไกลกันเหลือเกิน …และพวกเราจะไม่หยุดเดินในทางของตัวเองที่เลือก เรายังไม่รู้ว่าทางของพวกเราจะสิ้นสุดแบบไหน แต่ผมคิดว่าเราคงจะเดินไปข้างหน้าในกติกาของเราเอง …. ผมคิดว่าการได้มี “แต้มต่อ” ตั้งแต่เด็กเป็นการดี ได้เรียนภาษา ได้มีครอบครัวที่ร่ำรวย มีชื่อเสียงหนุนหลัง…. แต่เราเด็ก “ขาดง” ผู้ต่อแต้มให้กับคนอื่น… เราก็ขอบคุณวิถีชีวิตของพวกเราที่หล่อหลอมให้เราเป็นเรา…. ผมขอบคุณทุกความผิดพลาดของชีวิตอันกระท่อนกระแท่นของผม… ที่พาผมมาได้ไกลขนาดนี้… และผมจะพาชีวิตกระท่อนกระแทนของผม ไปทิศทางไหนและไกลแค่ไหนนะ… ผมก็อยากรู้เหมือนกัน… อนาคต มันน่าสนุกจริงๆ นะครับ…

Back to Top