กตเวทิตาจิต

 
                ปกติจะไม่ชอบบินที่สนามบินดอนเมือง ถ้าเลี่ยงได้ผมก็จะเลี่ยง ถึงขนาดว่าบางทีผมต้องไปทำงานเชียงใหม่ ผมยังเลือกขับรถไปแทนนั่งเครื่องเลย ทั้งๆ ที่ค่าน้ำมันแพงกว่าค่าตั๋วเครื่องบินเยอะ … ด้วยเหตุผลที่ค่อนข้างไร้สาระว่าเคยขึ้นเครื่องที่ดอนเมืองรู้สึกว่าคนเยอะมากๆและเคยมีประสบการณ์ไม่ดีกว่าสนาบินนี้ … ดังนั้นไม่จำเป็นจริงๆ ผมจะไม่บินดอนเมืองจะเป็นการดีที่สุด
แต่ครั้งนี้ผมเลือกบินที่ดอนเมืองบินตอนเช้าเจ็ดโมง บินกลับมาถึงกรุงเทพตอนสี่ทุ่มนิดๆ วันเดียวกันไปเช้าเย็นกลับ … นั่นก็หมายความว่าภาระกิจคร้งนี้เป็นภาระกิจที่สำคัญมากพอสำหรับผมจริงๆ …. ผมถึงยอมเหนื่อย … ภาระกิจนั้น คือ การร่วมงานแสดงกตเวทิตาจิตแด่ ครูสุริยา ครูประจำชั้นตอน ม.6 ท่านได้เกษียณอายุราชการในปีนี้ …
             หากมองย้อนกลับไปในอดีตจะพบว่า ทุกสิ่งในอดีตย่อมสะท้อนตัวตนในปัจจุบัน ดังนั้นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมเป็นผมได้ทุกวันนี้ ครูสุริยา ก็คงเป็นส่วนหนึ่งที่หล่อหลอมให้ผมเป็นผมในปัจจุบันเช่นกัน ผมก็ไม่รู้ว่าผมในปัจจุบันจะเรียกว่าชีวิตดีหรือร้าย หรือจะเรียก170034_10150169337244008_5791132_oว่าประสบความสำเร็จหรือว่าล้มเหลว… ผมไม่รู้ในคำนิยามยังไง… แต่สำหรับผมตอนนี้ ผมก็ยังพอใจในการที่ผมเป็นผมแบบนี้อยู่.. ดังนั้นหากผมพอใจในการที่ผมเป็นผมอยู่ ผมก็ควรจะขอบคุณส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมเป็นผม..คนที่ทำให้ผมพอใจตัวผมเอง…
สมัยผมยังเรียนมัธยมปลาย ผมเป็นเด็กต่างอำเภอที่ห่างไกลตัวจังหวัด 80 กว่ากิโลเมตร … ซึ่งในอำเภอของผมก็มีโรงเรียนประจำอำเภอขนาดใหญ่พิเศษอยู่เหมือนกัน..ซึ่งโดยทั่วไป เพื่อนๆ ผมส่วนมากจะเรียนที่นี้ หรือไม่ก็ ไปเรียนที่ขอนแก่นเลย …น้อยมากที่จะเรียนโรงเรียนประจำจังหวัดตัวเอง .. ซึ่งผมก็เป็นข้อยกเว้นนั้น ผมเรียนที่นี่ด้วยเหตุผล… ไร้สาระ …อกหัก สาวไม่รัก.. อยากหนีให้ไกล เริ่มต้นใหม่ …อุ๊ตายย พอคุณ ดราม่าและแรดตั้งแต่เด็กนะเรา.. ..และเหลือพื้นที่ให้กับเด็กที่สอบเข้าน้อยมาก ไม่ถึงร้อยคนจากผู้สมัครสอบหลายร้อย ทำให้แม่มั่นใจว่าผมคงจะสอบไม่ได้.. แต่บังเอิญว่า ผีจับยัด .. สอบได้เฉยเลย .. แม่จึงจำใจให้เรียน … แต่ในเมื่ออยากเรียน เด็ก 15 ปี ต้องจัดการชีวิตตัวเองทั้งหมด ..จ้างสามล้อมเซ็นต์เป็นผู้ปกครอบตอนมอบตัว… และกระเสือกกระสนทำทุกอย่างเอง ถึงแม้จะอาศัยอยู่กับน้า แต่น้าก็ไม่ได้ยุ่ง แค่ดูอยู่ห่างๆ …
                   ความจนพลักให้มีความอดทน และต้องประหยัด อะไรทำเองได้ก็ต้องทำ อะไรกินได้ก็ต้องกิน … ทุกอย่างเริ่มหล่อหลอมเป็นตัวผมเองเรื่อยๆ มา ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ชีวิตวัยรุ่นที่ขาดหางเสือ .. ไร้คนแนะนำและให้คำปรึกษา…จนเกือบจะกลายเป็นเด็กใจแตก .. กระทั่งตอน ม.6 เมื่อผมสำรวจรอบกาย .. มีคนเกลียด มากกว่าคนรัก.. หาคนเข้าใจแทบจะไม่มีเลย … มีไม่กี่คนที่ผมจะสามารถปรึกษาปัญหาในชีวิตของผมได้ … หนึ่งในนั้น คือ ครูสุริยา คนนี้…. ครูทำหน้าที่มากกว่าเป็นครูที่ปรึกษา .. ท่านเป็นเหมือนเพื่อนเป็นเหมือนพ่อ … คอยให้คำแนะนำดีๆ เสมอ …หลังเรียน จบ ม.6 ผมก็ ยังคงแวะเวียนไปหาครูบ้างเป็นครั้งคราว ปีใหม่ก็ไปทานอาหารที่บ้านครูอยู่เรื่อยๆ … แต่เมื่อระยะทางและเวลาเป็นอุปสรรค …ทำให้ผมไม่ได้เจอครู มาสิบกว่าปี แล้ว … แต่คำสอนครูยังอยู่ในความทรงจำและนำทางผมอยู่เสมอ….
                     บัดนี้ เนื่องในโอกาสงานเกษียณอายุราชการของท่าน … จึงทำให้ถือเป็นงานสำคัญของผมที่จะเดินทางไปร่วมแสดงกตเวทิตาจิตต่อครู ผู้เป็นส่วนหนึ่งที่หล่อหลอมให้เด็กชายผู้ชอบโดดเรียน มายืนอยู่จุดทีนี้ได้ ผมอยาก ผมคิดว่าการที่เราเดินมายืนอยู่ในจุดที่สูงขึ้น เราควรมองย้อนกลับไปบนเส้นทางระหว่างที่เราเดินมาด้วย ว่า มีใคร หรือมีอะไรที่ช่วยให้เราเดินมาถึงจุดนี้ ..หากมีโอกาสที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง … เราควรจะหาโอกาสขอบคุณ จุดนั้น … ที่พลักให้เราเดินมาถึงจุดนี้ได้… ผมมันกจะเล่าเสมอถึงจุดเริ่มต้นของเงินเดือน 7,450 บาท แรกในชีวิต ที่เป็นจุดเริ่มต้นให้ผม มาไกลถึงจุดนี้…. ผมอยากขอบคุณทุกๆ ความผิดพลาดและความเฮงซวยในชีวิต ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนให้ชีวิตเดินออกมาไกลอีกก้าว …
                   ปราชญ์สามขาบอกเสมอว่า อะไรๆ ก็ดีหมดถ้าเรามอง ..อะไรก็แย่หมดถ้าเราเลือกจะมองทุกอย่างที่สองด้านเสมอ … ดังนั้นผมก็ควรขอบคุณการอกหักแอบรักข้างเดียวของเด็ก ม.3 ที่พัดพาผมมาไกลขนาดนี้ …ขอบคุณเงินเดือนต่ำๆ ที่ทำให้ผมพยายามมองหาช่องทางและความสามารถให้มากขึ้น… ดังนั้นหากคุณกำลังท้อแท้ ผิดหวัง หรือกำลังมีชีวิตที่ย่ำแย่ในเรื่องต่างๆ อยู่…หากคุณผ่านมันไปได้ คุณอาจจะขอบคุณ ความเฮงซวยในชีวิต ที่พัดพาให้ชีวิตคุณดีขึ้นก็ได้… แต่สิ่งที่เป็นเข็มทิศของผมเสมอ คือคำสอนง่ายๆ ของพ่อผมและผมเชื่อว่ามันเป็นจริงอย่างไม่ต้องสงสัยคือ …. “ชีวิตเป็นของคุณ อยากได้ดีก็ทำดี อยากได้ทั่ว ชีวิตตกต่ำก็ทำเอง” …มองหาเข็มทิศของคุณซะ แล้วเดินตามมันครับ …

ใส่ความเห็น

Back to Top