กันยายน


เดือนกันยายน … เดือนนี้มีความหมายกับผมมาก จะเรียกว่าเป็นเดือนที่อุดมไปด้วยจุดเปลี่ยนของชีวิตของผมมากมาย ดังนั้น ทุกๆ ปีของเดือนกันยายน ผมจะต้องแอบลุ้นว่าปีนี้ จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงกับชีวิตผมบ้าง … ซึ่งมันก็จะจริงแทบทุกปี และปีนี้ก็มีเช่นกัน…
เริ่มต้นจาก กันยายน 2536 ผมได้สูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต พ่อผมได้เสียชีวิตในวันที่ 9 กันยายน2536
20160823_144641ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เพราะหลังจากที่พ่อผมเสียชีวิต ก็เหลือแม่เลี้ยงดูตามลำพัง ทำให้จุดกำเนิดของวิธีการคิดในแบบตัวเองซึ่งแตกต่างจากเพื่อนในวัยเดียวกันถึงขนาดแทบจะหาเพื่อนคบไม่ได้ จึงได้เริ่มขึ้น ณ จุดนี้

            เหตุการณ์ สำคัญๆ ก็เปลี่ยนแปลงเรื่อยมาในเดือนกันยายน ไม่ว่าจะมีแฟนครั้งแรกในชีวิต โดนขโมยขึ้นห้องพัก เป็นต้น เหตุการณ์ต่างๆ จะเกิดขึ้นในเดือนกันยายน แม้กระทั้ง…การตัดสินใจลาออกจากการเป็นพนักงานบริษัทฯ ครั้งสุดท้ายของผม…ก็ไม่ต้องถามว่าเกิดขึ้นเดือนไหน นะครับ เดือนกันยายนเช่นกัน…
             ถ้านับๆ เวลา 3 ปีเต็มที่ชีวิตผมเดินออกมาในทางสายเปื้อนฝุ่น ต้องตากแดดตากลม อดมื้อกินมื้อ หนักเอาเบาสู้ เพื่อให้มีเงินพอจะประทังชีวิตผมได้….เนี้ย ไม่รู้ว่าค่าไฟที่หอพักเค้าจะตัดเมื่อไร..เงินยัง ไม่จ่ายค่าห้องค้างเค้าสองเดือนแล้ว….. ครับ แห่ๆ …ชีวิตผมมันไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอก ชีวิตที่ไม่มีนายจ้างเป็นเจ้านาย ..ชีวิตที่มีแต่ลูกค้า … เป็นคนจ่ายเงินค่าทำงานของเรา ชีวิตมันไม่ได้ดราม่าขนาดละครหลังข่าวช่อง 3 หรอกครับ ถ้าคุณรู้จักเตรียมตัวให้พร้อมเสียก่อน …ก่อนผมจะออกเดินทาง ผมค่อนข้างคิดหนักถึงโลกที่ไม่มีความแน่นอน โลกที่ไม่ต้องตอกบัตร … โลกที่ไม่มีเพื่อนร่วมงานที่เกลียดเรา…โ ลกที่ไม่ต้องบ่นว่า วันจันทร์อีกแล้ว…มันจะเป็นยังไงหนอ ..ผมได้แต่จินตนาการแต่ไม่อาจบอกได้ว่า โลกใบนั้นเป็นเช่นไร…
                  ชีวิตผมเริ่มจากการที่ระหว่างทำงานอยู่ในบริษัทฯอยู่นั้น ผมมีลูกค้าคนหนึ่งเค้ามีปัญหาด้านกฎหมายถูกฟ้องร้องหลายที่เค้าอยากได้ผมไปร่วมงานเป็นที่ปรึกษากฎหมายและเป็นทนายความด้วย แต่อยากให้รับเป็นงานไม่ประจำ ดังนั้นในระหว่างทำงานประจำผม จึงมีเงินเดือนอยู่ 2 แหล่ง คือลูกค้าและบริษัทฯ ที่ผมไปทำงานประจำให้ สุดท้าย …ผมก็ได้ตัดสินใจลาออกจากงานประจำ ตั้งใจออกมาทำงานเป็นลูกจ้างทั่วไปเต็มตัว …อาชีพผมค่อยข้างจะต้องใช้คำนิยามมากกว่าปกติสักหน่อย… ในหลายๆ ครั้งผมก็ขี้เกียจะอธิบายคำนิยามของอาชีพผม … หากมีคำถามว่าทำอะไร ผมตอบแบบ ชาวบ้านเข้าใจว่า “เป็นทนายความ” ก็จบแล้วคำตอบ ง่ายๆ …แต่หากเพื่อนๆ ที่ผมใส่ใจที่จะตอบคำถาม และเค้าอยากรู้ว่าทำงานอะไร ผมถึงจะบอกเค้าว่าอาชีพผมจริงๆคืออะไร… อาชีพผมจริงคือ “แผนกกฎหมายของบริษัท” แต่จะบอกได้ยังไง หากลุงขายก๋วยเตี๋ยวไก่มะระถามว่า นายทำงานอะไร เห็นนายมีเวลามากินลุงในเวลาคนอื่นเค้าทำงานกัน… ผมจะตอบว่าผมทำงาน “เป็น” แผนกกฎหมายของบริษัท ก็คงจะเป็นคำตอบทีค่อนข้างกวนรองเท้าแตะลุงอย่างมาก… แต่มันคือความจริงครับ อาชีพหลักๆ ของผมคือเป็นแผนกกฎหมายประจำบริษัทฯ ต่างๆ ทำงานเหมือนพนักงานบริษัทฯ คนหนึ่ง ตรวจร่างสัญญา ให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย ติดตามหนี้ ออกจดหมายทวงถาม งานอื่นๆ ที่แผนกกฎหมายในบริษัทฯ จะพึงทำ ซึ่งแน่นอนการว่าความในศาลก็แค่เป็นส่วนหนึ่งในงาน ไม่ใช่ทั้งหมดในงานผม …ดูเผินๆก็เหมือนพนักงานบริษัทฯธรรมดา เพียงแต่ว่าผมอาจจะไม่ได้นั่งตอกบัตรเข้างานออกงานในบริษัทฯก็เท่านั้นเอง ดังนั้นลูกค้าหลักๆ ของผมจึงเป็นบริษัทฯ นิติบุคคลเป็นหลัก ความซับซ้อนในงานที่ผมทำ … จึงเป็นความซับซ้อนในเชิงธุรกิจเป็นหลัก …ไม่ใช่งานที่เกี่ยวกับคดีความชาวบ้านเค้าพิพาทตบตีต่อยกันกัน … (*หากบริษัทฯ ไหนจะจ้างก็ติดต่อมาได้นะครับ **พื้นที่โฆษณา** ฮ่าๆ)
                        ตลอดระยะเวลา 3 ปี ลูกค้าผมก็มีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปตามแต่ละเหตุการณ์ บางบริษัทฯ ก็ขอแค่ระยะสั้นๆ พอแก้ปัญหาจบก็พอแล้ว …แต่ส่วนมากผมจะมีลูกค้าเดิมๆ และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทีละนิดทีละหน่อย จนตอนนี้ ก็มีปริมาณที่เพียงพอจะเลี้ยงดูตัวเองและภรรยาได้ อย่างไม่ยากลำบากอย่างที่คิด… พอที่จะมีเงินพอจ่ายค่าไฟหอและค่าข้าวเสาไห้เม็ดหักที่โลตัสอยู่บ้างแล้ว สองสามกิโล…
                         ตอนนี้ถึงแม้ว่าผมจะยังไม่ประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิต แต่ผมก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของชีวิต ที่จะค่อยๆ ก้าวต่อไปทีละก้าว ในแบบชีวิตที่ผมเลือกเอง ผมเคยเห็นข้อความที่เรา “หากเราไม่มีความสุขกับงานที่เราทำอยู่ …ก็ลาออกซะ ..เพราะเราไม่ใช่ต้นไม้” ผมเคยกลัวก่อนที่จะลาออกมาทำงานของตัวเอง กลัวที่จะทิ้งความมั่นคงในคำนิยามของคนปกติไป …กลัวที่แตกต่าง ผมเคยกลัวที่จะอดตายไม่มีเงินใช้.. แต่เมื่อผมก้าวข้ามผ่านความกลัวนั้นออกมาได้ …สิ่งดีๆ รอผมอยู่ข้างหน้าแล้ว …ผมจะกล้าเดินถึงจุดนี้หรือเปล่า …. ถึงแม้จะไม่ใช่ทุกคนที่เดินแล้วถึงจุดหมาย … หลายๆ คนเดินมาแล้วพลาดพลั้งล้มลง… บาดเจ็บกันบ้างก็มีให้เห็นกลาดเกลื่อน …. แต่ผมว่ามันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยงกับผลตอบแทนที่จะได้… จังหวะ เวลา โอกาส…ที่เหมาะสม เมื่อใด ความสำเร็จก็จะเหมาะสมเมื่อนั้น… แต่เวลา จังหวะ โอกาสไหนละ .. ที่จะเหมาะสม …ของแต่ละคน … ผมก็คงตอบไม่ได้ ว่าเมื่อไร่ …และตอนไหน…แต่หากเราไม่อาจรู้ว่า โอกาส เวลา จังหวะ ไหนที่จะเหมาะสม แต่… สิ่งที่เราจะจะต้องจัดเตรียมอย่างแน่นอน คือตัวเอง หากเตรียมสิ่งที่ต้องทำไว้อย่างเหมาะสม…เตรียมความพร้อม ความรู้ความสามารถไว้แล้ว… เมื่อถึง “จุดเปลี่ยน” ทุกอย่างจะเปลี่ยนผ่านไปอย่างไม่ยาก…..
                         ปราชญ์สามขาเคยกล่าวไว้ว่า…”เราไม่ควรเสียใจในผลของการได้ลองทำ… แต่เราควรเสียใจในสิ่งที่เราไม่ได้ลองทำต่างหาก” ผมได้ลองพาชีวิตเด็กชายจาก หมู่ 3 ตำบลสามขา พัดมาไกลจนถึงจุดนี้ได้ คุณทั้งหลายที่มีต้นทุนที่ดีกว่าผม … ก็ควรจะได้ให้สายลมแห่งโชคชาตาพัดพาไปไกลกว่าผมเช่นกัน… ปล่อยมือจากเสาไฟที่คุณกอดซะ..ปล่อยให้ลมแห่งโชคชาตาพัดพอไปเสียบ้าง … เพราะชีวิตเรามันสั้นกว่าที่เราคิดอีกนะครับ

ใส่ความเห็น

Back to Top