ทางหนีไฟ

เมื่ออาทิตย์ผมได้นั่งดื่มเบียร์ในบาร์เล็กๆ ร้านประจำแห่งหนึ่ง ระหว่างนั่งทอดอารมย์ได้พูดคุยกับน้องพนักงานร้านหญิงคนหนึ่งพูดภาษาอังกฤษได้พอสมควร ระหว่างที่น้องเค้ากำลังคิดเงิน ผมได้สอบถามชื่อเสียงเรียงนามและถามว่าเรียนexitภาษาอังกฤษจากไหนสำเนียงถือว่าใช้ได้ คำตอบที่ได้กลับมาคือ น้องเป็นชาวพม่า มาอยู่ที่ไทยตั้งแต่อายุ 13 ปี ไม่ได้เรียนหนังสือ เป็นที่แปลกใจกับผมมากว่าทำไมอ่านออกและเขียนได้ น้องเล่าต่อว่าอายุ 13 ปีถูกนายหน้าพามาค้าแรงงานที่กรุงเทพเริ่มจากล้างจาน โดยที่พูดภาษาไทยไม่ได้เลย ได้แต่ภาษามือ หลังจากนั้นก็ได้ไปทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ก็ได้เรียนรู้จากการออกเสียงจากเด็ก ส่วนการเรียนเขียนอ่านก็ต้องเรียนไม่งั้นหลงทางแล้วไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ไหน พยายามไปเรื่อย แบบไม่มีทางเลือก ทำให้ผมสนใจต่อถามว่าแล้วภาษาอังกฤษละเรียนมาจากไหน น้องบอกว่าเรียนจากการฟังเพลงแล้วจำสำนวนเพลงมาพูดและได้สื่อสารกับฝรั่งในร้านอาหารทำให้ภาษาอังกฤษพัฒนาได้เร็วขึ้น พอสิ้นเสียงของน้องผมนั่ง สตั๊น!! ไปสามวิ น้องเค้าว่าหนูไม่มีทางเลือกพี่ หนูต้องฝึกฝนและพัฒนาตัวเอง หลังจากนั้นในวันต่อมาผมไปนั่งคุยกับน้องคนหนึ่งที่ จบ การศึกษาจากอเมริกามา เค้าบอกว่า เท่าที่ประสบการณ์เค้าที่พบเจอคนที่ประสบความสำเร็จ มักจะไม่มีทางเลือกในชีวิตมากนัก เค้ามีทางเลือกแต่จะสู้ พัฒนาตัวเองหรือไม่อีกทางก็ต้องทนหิวเพราะไม่มีงาน ไม่มีเงิน ถ้าเค้ามีทางเลือกในชีวิตเค้าอาจจะไม่พัฒนาเร็วอย่างนี้ก็ได้ ผมนั่งตริตรองในความเหมือนกันของระหว่างสองคน จุดที่เหมือนกันคือ หัวใจที่ต้องไม่ยอมแพ้และต้องสู้อย่างไม่มีทางเลือกเพราะหากคนมีทางเลือกทำให้ใจมันอ่อนแอ เพราะว่าเมื่อมีทางถอย ทางสบายก็จะเลือกใช้ชีวิตในทางที่สบายก่อนซึ่งเป็นธรรมชาติของชีวิต โดยความเห็นส่วนตัวของผมเองผมไม่ได้เห็นด้วยเสียทั้งหมด สำหรับผม ชีวิตต้องมีทางหนีไฟเสมอ ชีวิตผมต้องมีแผนสำรองเสมอ แต่ผมจะใช้เมื่อถึงยามฉุกเฉินตอนไฟไหม้เท่านั้น เพราะการที่เรามีทางหนีไฟก็ใช้ว่าเราจะเลือกเดินลงบันไดหนีไฟเสมอไป แต่การที่จะฮึดสู้แบบไม่มีทางหนีก็เป็นเรื่องที่จะพัฒนาตัวเองได้เร็วที่สุดเพราะหัวใจเราจะไม่อ่อนแอต่อความลำบาก หลายคนไม่อาจควบคุณอารมย์ตัวเองได้ เหนื่อย หิว ท้อ อ่อนแอ ดังนั้นหากคนเราไม่มีทางเลือกให้หนีเราก็จะฮึดสู้ให้พ้นสภาวะอารมย์ได้ง่าย จะเหนื่อยน้อยลง จะหิวน้อยลง อดทนเพิ่มขึ้น แต่หากเตรียมทางทหนีไฟของชีวิตไว้อีกทาง หากสู้แล้วไฟไหม้ เราก็ยังมีทางหนีออกมาสู้ใหม่ ไม่ต้องตายในกองเพลิง เพราะหลายๆ ครั้งในชีวิตมนุษย์ชัยชนะไม่ได้มีไว้เพื่อทุกคน แต่เมื่อพยายามถึงที่สุดแล้วยังไม่สำเร็จพ่ายแพ้ เราควรจะมีทางหนีเพื่อตั้งหลัก ไม่ใช่สู้จนตายในกองเพลิง การวางแผนการจัดการชีวิตในทุกเงื่อนไขจึงเป็นข้อสำคัญในการวางแผนการดำเนินชีวิต การใช้ชีวิตแบบไม่วางแผนก็เหมือนการเดินเรือแบบไม่มีเข็มทิศ ลอยลำไปเรื่อยๆ แต่หากวางแผนชีวิตัวเองและรู้ว่าอีก 5 ปีเราจะอยู่ตรงไหน อีก 10 เราจะทำอะไรอยู่ และเตรียมทางหนีไฟไว้ทุกทาง ผมว่าการดำเนินชีวิตน่าจะเดินทางไปอย่างสนุกและปลอดภัย ผมสนับสนุุนการใช้ชีวิตแบบอิสระและเดินตามความฝัน แต่เมื่อเราเกิดเป็นคนทั้งในทุกความฝันควรจะมีทางหนีไฟเสมอ เพราะเมื่อบางฝันไม่สำเร็จเราก็ยังหนีไฟมาตั้งหลักเพื่อเดินตามหาฝันอย่างอื่นต่ออีกครั้ง

 

Back to Top