ลืมตาฝัน

 
                    “นายจดจำเป้าหมายของเราที่สาบานตนตั้งแต่เริ่มทำงานได้ไหม… เป้าหมายที่ว่าของพวกเราคือหนึ่งเดียว คือ การอยู่จนเกษียรพร้อมบำนาญ” สิ้นประโยคนี้ดังจากหนังเกาหลีเรื่อง “A hard day” ผมนั่งคิดต่อไปจนไม่ได้สนใจหนังอีกต่อไป … ทำไมประโยคง่ายที่แสนโคตรจะจริงแบบนี้มันจะได้สะกิตใจผมขนาดนี้ …อาจจะเป็นเพราะวันนี้เป็นวันจันทร์ก็ว่าได้ … วันแรกของการทำงานในสัปดาห์ที่ผมมักจะได้ยินเสียกระปอดกระแปดถึงการลาลับของวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่เค้าขอพักการทำหน้าที่ของวันพักผ่อนคอกพนักงานไป 5 วันก่อนที่วันหยุดจะกลับมาทำงานใหม่อีกครั้งในวันเสาร์ … และอาจจะเป็นแค่การนับวันที่ 1 ของการทำงานที่เหลือเต็มๆ อีกสี่วันก็เป็นไปได้ … ที่ทำให้ผมสะกิตใจชวนให้คิดถึงความหลัง… สมัยที่ผมยังทำงานประจำในบริษัท ที่ต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางไปให้ทันเวลาผสานลายนิ้วมือกลับเครื่องอ่าน … ในทุกๆ วินาทีอันแสนจะโคตรสำคัญนั้นหากลายนิ้วมือดันทรยสไม่สามัคคีกับกับเครื่องแล้วละก็อาจจะทำให้วันทำงานปกติกลายเป็นวันทำงานปกติที่มาทำงานสายก็เป็นไป …และยิ่งถ้าเวลานับถอยหลังน้อยกว่า 40 วินาทีก่อนเส้นตายก็ยิ่งปลุกเร้าเลือดในกายให้เดือดพล่าน..คลุ่นคิดว่า .. ทันหรือไม่ทัน… การนับกันเป็นวินาทีกันเลยทีเดียว … เรียกได้ว่าชีวิตที่แสนโคตรจะรีบเร่งเลยทีเดียว … จังหวะชีวิตที่เต้นตามกติกาขององค์กรที่กำหนดเป็นมาตรฐานให้ทุกคนต้องปฏิบัติ ถึงแม้มันจะชวนให้อึดอัดแต่มันก็คือชีวิตจริงของคนเป็นที่ลูกจ้างต้องยอมรับชตากรรม …
                            ภายหลัง “คอก” ของตัวเองทุกคนพยายามเนรมิตรให้เหมือนกับบ้านหลังน้อยๆ ติดภาพหรือโปรแกรมพักหน้าจอคอมที่มีรูปสถานที่ท่องเที่ยวที่คอยเอาไว้จ้องมองในยามที่เหนื่อยล้าเพื่อปลดปล่อยความฝันให้จินตนาการถึงความสุขเหมือนเราได้หลุดไปอยู่ในโลกนั้น … ผมเคยมีเพื่อนร่วมงานอยู่คนหนึ่ง จะเรียกเพื่อนร่วมงานก็ไม่อาจจะเรียกได้เต็มปากแต่หากจะเรียกว่าน้าร่วมงานก็น่าจะพอเรียกได้ … ผมมักจะต้องจำทนนั่งฟังน้าพูดชื่นชมความเก่งกาจของตัวเองอยู่เสมอๆ จนหลายทีผมก็อดไม่ได้ที่จะมีคำถาม “ลองวิชา” ไปบ้าง แต่คำตอบที่ได้ก็เหมือนมีแต่ความว่างเปล่าสะท้อนกลับคืนมาจากคำตอบนั้น … น้าพูดเสมอว่าเป้าหมายของน้าคือการเกษียรอายุในอีก ไม่เกิน 5 ปี… และภายหลังกระเกษียรน้าจะได้เงินกองทุนประมาณหลักล้านกระมัง ผมไม่ใส่ใจจะฟังเท่าไร่… ทุกๆวันที่น้ามาทำงาน ผมจะได้ฟังคำเดิม ซำๆ วนๆ …. จนชวนให้ผมคิดติดตามไปบ่อยครั้งว่าผู้คนเหล่านี้ถูกหล่อหลอมให้ก้มหน้ายอมรับชีวิตสำเร็จรูปอย่างหน้าชื่นตาบานได้อย่างไร… ผู้คนเหล่านี้ไม่ตั้งคำถามถึงการมีอยู่ของชีวิต ความหมายของชีวิตหรอกหรือ… หรือว่าความฝันของเค้ามีแต่ การที่จะได้ทำอะไรอย่างที่เค้าต้องการภายหลังชีวิตเกษียรเท่านั้นเอง…. แล้วทำไมหากเรายังมีโอกาสทำอะไรที่อยากทำไปจนตลอดชีวิตละ … นั้นคือการเกษียรจากการทำงาน… แล้วเริ่มต้นชีวิตวัยเกษียรไม่ใช่เหรอ… ผมไม่ได้ชี้ชวนให้เห็นว่าการเป็นลูกจ้างเป็นเรื่องที่เลวร้าย… แต่ผมจะชี้ชวนให้ลองคิดตามว่า ..การเป็นลูกจ้างในงานที่ไม่ได้รักนั้นเป็น.. มันจะต่างอะไรกับการติดคุกแบบ ไม่ค้างคืนบ้าง …นั่งลงในคอกแล้วเฝ้ามองนาฬิกาที่แสนจะเดินเชื่องช้า… จนตั้งคำถามว่าทำไมเวลาในการทำงานถึงไม่เท่ากับเวลาในวันหยุดว่ะ ..หรือว่าที่ทำงานเค้าฮั้วกับเวลาว่าให้เวลาในการทำงานช้าหน่อยเวลาในวันหยุดให้รีบๆ นะ…ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ผมก็คงจะเป็นแกนนำคนแรกๆ ที่จะเข้าไปแจ้งความการฉ้อโกงเวลาอย่างแน่นอน…. ห่วงเวลาที่ถูกจำกัดคุมขังดังกล่าวมันจะต่างอะไรกับการติดคุกในแบบสุภาพ.. นั่งทนทำงานที่เราบางทีก็อาจจะไม่เข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไรเสียด้วยซ้ำ … แต่ต้องทำวันแล้ววันเล่า.. เพื่อให้ชีวิตก้าวข้ามผ่านพ้นเวลาไป… คุกที่เรียกตัวเองสวยๆ ว่า Office … ผมว่า… หากเราเริ่มต้นที่ความสุขและความฝัน การทำงานก็ไม่มีอยู่จริงหรอก… อาจจะฟังดูบ้าบิ่นแต่ผมเอาเล็บขบผมยืนยันได้เลยว่าเป็นเรื่องจริง… หากเราทำในสิ่งที่เรารักและสนุกกับงาน ผมอยากจะเรียกว่า การเสพชีวิตในวันเกษียรที่มีผลพลอยได้คือเงินเดือนเสียมากกว่า … คุณจะไม่รู้สึกถึงการทำงานและไม่รู้สึกถึงเวลาที่คุณใช้จ่ายหมดไปอย่างรวดเร็ว…
                           งั้นต้องทำอย่างไรละ …ผมก็ไม่รู้สิครับ ชีวิตคุณเลือกเอง ..หากเป็นชีวิตผม ผมจะเลือกตั้งที่ความฝันและความอยาก …. สิ่งทำสำคัญในการใช้ชีวิตเกษียรคือคุณต้องหาสิ่งที่คุณฝันและคุณอยากทำให้ได้แล้วสร้างมันให้ก่อเกิดเป็นงานที่มีผลตอบแทนในรายได้อย่างที่คุณพอใจ ….ฟังๆ ดูเหมือนง่าย แต่หลายคนก็บอกว่ายาก .. เพราะบางคนไม่ได้ “ลุ่มหลง”ในความฝันมากเพียงพอที่จะสร้างมันออกมาให้เป็นรูปร่าง และค้นหาความฝันของตัวเองไม่เจอ หรือถึงแม้จะเจอก็ไม่อาจจะแปลงเปลี่ยนและดีพอให้สร้างรายได้ที่เพียงพอจะเลี้ยงดูครอบครัว เลี้ยงดูต่อดอกเบี้ยธนาคารได้ … จนยอมกลับเข้าวัฏจักร เดิมๆของการทำงานผู้เฝ้ามองเวลาพักเวลาเลิกงาน…เช่นเคย…
                            ดังนั้น สิ่งที่ผมกำลังพยายามสื่อสารอาจจะดูเชยอย่างกับสมัยคำพูดกำลังหัดเขียนสีบนฝาผนังถ้ำ ..แต่ก็คือความจริงพอๆกับความตาย … นั้นก็คือความฝัน … หากมนุษย์เราเริ่มต้นที่ความฝันและความอยาก … ความไม่พอเพียงของเราก็ผลักดันเราให้เดินต่อไปข้างหน้า … คำว่าพอมันอาจจะฟังแล้วรู้สึกถึงคำปลอบใจในบางเวลาให้เราหยุดเดินและหยุดฝัน .. แต่สำหรับผมเองผู้ไม่เคยเพียงพอหรือพอเพียงกับความฝันและความอยากของตัวเอง …ผมเลือกที่จะไม่มีวันหยุดฝัน …เพราะทุกๆ ความฝันและความอยากของผม พลักให้ผมเดินต่อไปข้างหน้า..ผมก็ไม่รู้หรอกว่า ชีวิตผมจะหยุดอยู่ที่แห่งใด.. แต่หากคุณยังไม่เริ่มกลับมาฝันอีกครั้ง …ผมว่าคุณก็น่าจะรู้แล้วว่า ชีวิตของคุณนั้นจะจบอยู่ตรงไหนแค่เพียงหลับตา… เรามาฝันกลางวันกันเถอะครับ .. เพราะฝันกลางคืนตื่นมาเราก็ลืม… ส่วนฝันกลางวันแค่ลืมตาเราก็ลงมือทำได้แล้ว… 

ใส่ความเห็น

Back to Top