เธอเป็นอย่างที่ฉันคิดหรือเปล่า…

                         หลังสิ้นเสียงระเบิดลูกนั้นดังขึ้นสถานีรถไฟใต้ดินเซนนายา โปลเชียด นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กของ รัสเซีย แต่ผลพวงระเบิดกับตรงดิ่งมาถึงกรุงเทพมหานคร หลังเสียงระเบิดดังไม่เกิน12ชั่วโมง นุ่นได้รับสายสอบถามถึงความห่วงใย หนักข้อบางคนถึงขนาดอยากให้เรายกเลิกการเดินทางเลยก็มี แต่เราสองคนคิดเสมอว่า ถ้าคนจะตายขายข้าวแกงในประเทศไทยรถก็วิ่งมาชนในร้านตาย ถ้าคนไม่ตายยืนอยู่กลางทุ่งระเบิดก็ไม่ตาย เราไม่ได้สนใจเสียงทันทานจากคนรอบข้างผู้ห่วงใยแต่อย่างใด เราเลือกที่จะไม่เสพข่าว หรือต้องการรู้เหตุการณ์ข้างหน้าว่าเกิดอะไรขึ้น เราไม่ใช่กลัวความจริง แต่เรากลัวจินตนาการของเราจะพัดพาเราไปไกลเกินกว่าเหตุ เราตรวสอบความปลอดภัยคร่าวๆ จากผู้ที่อยู่ในเมืองที่เกิดเหตุว่ามีความปลอดภัยเพียงพอหรือไม่ คำตอบนั้นคือทุกชีวิตยังเดินไปอย่างที่มันควรจะเป็นอย่างปกติสุข
                           เราออกเดินทาง ด้วยสายการบิน Aeroflot เที่ยวบิน SU271 ใช้เวลารวมประมาณ 10 ชั่วโมงเครื่องบินถึงที่สนามบิน ถึงสนามบิน Sheremetyevo Airport กรุง มอสโคว์ เวลาท้องถิ่นที่โมงเย็น และในสนามบินเดียวกัน สายการบินเดียวกัน Aeroflot เที่ยวบิน SU0026 ใช้เวลา 1.30 ชั่วโมง พาเรามาถึงจุดหมาย สนามบิน Pulkovo นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กของ รัสเซีย เรามาถึงสนามบินตอนทุ่มกว่า พระอาทิตย์ยังไม่ได้ลาลับขอบฟ้า ถ้านอนกลางวันแล้วตื่นเมืองไทย ผมคงจะประมา82774ณเวลาจากแสงแดดว่า 5 โมงเย็นเห็นจะได้ เรารีบจัดแจงดูแผนที่ เดินทางออกจากสนามบินโดยรถเมย์ จุดหมายของเราคือเข้าเมืองสถานีรถไฟใต้ดินเพื่อเชื่อมต่อเราไปยังที่พัก นี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอผู้คนในรัสเซีย ที่ก่อนมาผมได้จินตนาการตามที่ได้อ่านและจากหนังฮอลลีวูด ว่าคนรัชเซียเป็นคนแข็งกระด้าง ไม่ยิ้มแย้ม ไม่เป็นมิตร อันตราย ซึ่งก่อนมาผมก็หวั่นใจเหมือนกันว่าผู้คนที่รอผมอยู่เบื้องหน้าจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อภายหลังผมได้ก้าวขึ้นรถเมย์ภาพที่ผมพบเจอนั้นกลับไม่ใ่ช่อย่างที่ผมจินตนาการไว้ เราขึ้นรถเมย์พร้อมด้วยมือถือที่ไร้ อินเตอร์เน็ต สอบถามทางจากกระเป๋ารถเมย์ซึ่งสื่อสารกับเราด้วยภาษารัสเซีย แต่จับใจความได้หนึ่งคำว่า Metro เป็นอันเข้าใจตรงกันว่าเราจะลงสถานีรถไฟใต้ดิน และคาดหมายว่านางจะบอกเมื่อถึงจุดหมาย ระหว่างความกังวลใจเข้ามาเกาะกินความคิด ความว่างเปล่า ความเงียบ และพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า เป็นเครื่องคอยพลักเราให้จินตนาการไปร้อยแปด ชายวันกลางคนชาวรัสเซียสองคน พยายามสังเกตุสีหน้าเรา และพยายามสื่อสารบอกด้วยภาษารัสเซียว่าเรามาถูกทางแล้ว เค้าก็จะลงสถานนีรถไฟเหมือนกัน ให้ลงพร้อมกับเค้า ทุกการสื่อสารเค้าพูดด้วยภาษารัสเซีย ผมใช้ภาษาอังกฤษ แต่เราเข้าใจกันอย่างแปลกประหลาด ภาษากายนั้นช่วยช่วยเราไว้ได้อย่างมา เรานั่งรถเมย์ประมาณ 35 นาที พอใกล้ถึงจุดหมาย ชายที่นั้นข้างๆพร้อมกระเป๋ารถเมย์ ก็เชื้อเชิญเราให้ลงรถเมย์ เมื่อเราลงรถเมย์ เค้าก็ชี้ทางให้เราเดินไปขึ้นรถใต้ดิน แล้วเค้าก็เดินจากไปอีกทางพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก …. สถานีรถใต้ดินจริงๆ เค้าไม่ได้หลอกเราเพื่อประสงค์ร้าย ผู้คนเดินขวักไขว่ … เราสองคนเดินไปร้านขายซิมเพื่อจัดการเมือถือให้สามารถใช้การได้ … เมื่อทุกอย่างพร้อมเรา ก็ต้องเดินทางไปยังโรงแรมต่อไป …เราใช้เวลา ราวๆ ครึ่งชั่วโมง 6 สถานีรถไฟใต้ดิน เพื่อมาถึงยังจุดหมาย … เราเพียงได้ข่าวว่าเกิดเหตุการณ์ระเบิดในรถไฟใต้ดิน แต่เราไม่รู้ว่าที่ไหนและหวังว่ามันจะไม่ใกล้ที่เราพัก… ซึ่งเมื่อเราขึ้นจากรถไฟใต้ดินมาบนพื้นดินนั้น … คำภาวนาและความหวังผมไม่บังเกิดผล .. ผมมองเหตุกองกุหราบเป็นพันๆ ดอกทีหน้าสถานี ก็คงไม่ต้องเดาว่า … สถานีแห่งนี้เหละคือ ที่เกิดเหตุระเบิดและที่เกิดเหตุระเบิดห่างจากโรงแรมผมไม่กี่ร้อยเมตร แต่ที่แปลกคือ … ผมไม่ได้ตื่นกลัวกับเหตุการณ์ อย่างที่ผมกังวล … แต่กลับเป็น ความเศร้าที่เกาะกินหัวใจผม …เวลานี้ยังมีผู้คนเดินเอากุหราบมาวางอยู่ แววตาของผู้คนที่ยืนดูมองกองกุหราบนั้นแฝงไปด้วยความเศร้าอย่างที่ยากจะบอกถูก … ผมกับนุ่น ยืนดูอยู่สักครู่ และเราบอกกับตัวเองว่า … ถึงเวลาต้องไปเดินตามหาโรงแรมต่อแล้ว … เราใช้เวลาเดินจากกองกุหราบราว 10 นาที ก็ถึงจุดหมายปลายทางและจะเป็นบ้านของเราในอีกในอีกหลายคืนต่อไปจากนี้ …. เรายืนอยู่หน้าโรงแรมแต่ปัญหาเดียวคือว่า … เราจะเปิดประตูหน้าเพื่อขึ้นไปโรงแรมยังไง กลางลมหนาวและฝนปรอย เราไม่รู้เลยว่าเราจะขึ้นไป ยังไง เบื้อหน้าเรามีแต่ประตูโรงแรมที่ทำด้วยเหล็ก กับปุ่มอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งเราได้กดทุกปุ่มแล้ว ก็ไม่ได้ พาเราขึ้นไปข้างบนได้ อากาศหนาว ผสมกับฝนปลอย ที่พักอบอุ่นอยู่เบื้องหน้า เราพยายาม Intercall ขึ้นไปแต่ปลายสายพูดภาษารัสเซีย แล้วก็วางสายไป เราทำอะไรไม่ได้จริงๆ ในหัวผมคิดถึงแผนการใหม่เราต้องแก้ปัญหาวันนี้ .. ระหว่างที่เรากังวนเดินวนเวียนอยู่นั้น ในประตูบ้านใกล้ๆ กันสามห้องมีคนเดินออกมาทิ้งขยะ ผมรีบเดินปรี่เข้าไปถาม ด้วยภาษาอังกฤษ แน่นอนครับ ตอบกลับด้วยภาษารัสเซียเช่นเคย ภาษามือ ภาษากายที่ผมจำจากละครช่อง 3 สื่อสารให้เค้าเห็นว่าผมจะขึ้นไปโรงแรมนี้ แต่ติดต่อไม่ได้ หญิงวัยกลางคนชาวรัสเซียผู้ปราศจากรอยยิ้มบนใบหน้า รีบเดินมากดปุ่มรหัสเปิดประตูให้ผม แล้วพยายามบอกผมว่าให้ขึ้นไปชั้นไหน อย่างไร ด้วยภาษากาย ผมได้แต่ขอบคุณ ขอบคุณ และขอบคุณ ที่ทำให้นุ่นไม่หนาวอีกต่อไป เราเดินขึ้นไปชั้น 4 เพื่อเช็คอิน มีพนักงานนั่งอยู่ด้านหน้า รอต้อนรับเรา นางรู้ว่าเราจะมาและนางรอเราอยู่ แต่ปัญหาเดียวคือ นางไม่อาจสื่อสารภาษาอังกฤษได้ เธอได้พยายามขอโทษเรา … เราก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากอยากกลับห้องพักแล้ว… การเช็คอินผ่านไปด้วยความรวดเร็วด้วยความเหนื่อยและง่วง เราต้องเดินไปอีก 1 ชั้นเพื่อเข้าห้องพักตัวเอง เราเปิดประตูใหญ่ของชั้น .. ภาพที่เราเห็นคือห้องครัว เบื้องหน้าสวยงาม …. ห้องเราเป็นห้องในสุดในชั้นนี้ เป็นห้องขนาดใหญ่ ห้องนามสวยงามและภายในห้องอบอุ่นด้วยเครื่องทำความร้อนอยู่ตลอดเวลา …. ถึงบ้านเราแล้วซินะ …. เราเหนื่อย,หิว และหนาว ทุกอย่างมันจบแล้วเมื่อเรามาถึงที่นี้ เราไม่เหนื่อยแล้ว เราได้นั่งพัก เราไม่ได้หนาวแล้วเพราะเรามีไออุ่น … เราไม่หิวอีกต่อไปแล้วเพราะเราได้ต้มมาม่ากิน … หากว่าบ้านคือสถานที่อันทำให้เราปลอดภัยและอบอุ่น ดั้งนั้นที่นี้ก็ไม่ผิดหรอก หากมันคือบ้านเราในเวลานี้…. เราอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและก็ได้เวลาล่ำลาความเหนื่อยที่เกาะกุมเรามาทั้งวัน ถึงเวลาสลัดความเหนื่อยออกจากร่างการ ด้วยวิธีการนอนหลับพักผ่อน … ความเหนื่อยในวันนี้เอ่ย ข้าลาเจ้าก่อน ….. บ๊ายยยยย
                              ก่อนที่สติผมจะหลุดออกจากร่างผมได้ทบทวนเรื่องราวในวันนี้และความคาดหวังที่ผมได้เจอ คำบอกเล่าจากหลายเสียงที่บอกว่า ผู้คนรัสเซียไม่ยิ้มแย้มเท่าไร่ อันนี้ผมว่าจริง แต่หากจะบอกว่าคนรัสเซียนั้นแข็งกระด้างไม่มีน้ำใจนี้ ผมขอยืนยันและนั่งยันเลยว่าไม่จริง … ผมเป็นคนชอบเดินทาง ผมพบเจอผู้คนในหลากหลายเมือง ผมว่า รัสเซียเป็นอีกหนึ่งเมืองที่อุดมไปด้วยน้ำใจ ผู้คนอาจจะปราศจากรอยยิ้ม เพราะว่าความหนาวทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าขยับยาก หรือจะอะไรก็ช่าง แต่ผมถามทางหรือทำท่าเหมือนจะหลงทางก็มีคนพยายามมองดูและช่วยเหลือตลอด ก็ไม่รู้ซินะครับ ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร แต่วันนี้สำหรับผมและนุ่นถือว่า รัสเซียสอบผ่านด่านแรก ในการพบกัน ปิดประตูอคติที่ผมหอบมากองเป็นภูเขาก่อนเดินทางได้เลย … แต่ก็ต้องดูกันต่อไปว่า เรื่องราวแบบไหนที่จะรอผมอยู่เบื้องหน้า ….แต่ผมรู้เพียงว่า เวลานี้ เสียกรนข้างผู้หญิงที่ผมหอบหิ้วมาดังอยู่ข้างๆ หูพร้อมน้ำลายเหนียวๆ และเสียงซี๊ดน้ำลายเมื่อมันจะหยดถึงหมอน …. นี้มันคาหรือเตาแก๊สที่เปิดปุ๊บติดปั๊บ หลับเร็วกว่าเสียงชักโครกที่กดในห้องน้ำอีก … เอาน่า ถึงเวลาเราแล้ว… และแล้วสติผมก็ขาดลงงงง

ใส่ความเห็น

Back to Top